ระบบไฟฟ้าเป็นส่วนสำคัญที่เจ้าของบ้านไม่ควรมองข้าม เพราะหากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย อาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการใช้งานของทั้งบ้าน การตรวจสอบระบบไฟฟ้าควรทำอย่างละเอียดในทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มเดินสายจนถึงการทดสอบระบบจริง
1. ตรวจสอบแบบแปลนและตำแหน่งอุปกรณ์
ก่อนเริ่มตรวจงาน ควรตรวจสอบแบบไฟฟ้าให้ตรงกับแบบก่อสร้างจริง โดยดูตำแหน่งของปลั๊ก สวิตช์ จุดโคมไฟ ตู้โหลด และเบรกเกอร์ ว่าติดตั้งตรงตามแปลนหรือไม่ เพื่อให้การใช้งานในภายหลังสะดวกและปลอดภัย
2. ตรวจสอบการเดินสายไฟ
ตรวจดูว่าการเดินสายไฟทำถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องขนาดสาย (เบอร์สาย) ว่าตรงกับโหลดที่ใช้งาน สายไฟควรถูกเก็บในท่อร้อยสายหรือรางสายไฟอย่างเรียบร้อย ไม่บิดงอหรือคดเคี้ยวเกินไป จุดเชื่อมต่อควรใช้กล่องพักสาย (Junction Box) เพื่อป้องกันการหลวมของสายไฟในอนาคต
3. ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า
ตรวจการติดตั้งสวิตช์ ปลั๊กไฟ โคมไฟ พัดลมดูดอากาศ และเบรกเกอร์ ว่าแน่นหนา ปลอดภัย และอยู่ในระดับที่เหมาะสม ปลั๊กไฟในห้องน้ำหรือพื้นที่เปียกควรใช้แบบมีระบบป้องกันไฟดูด (GFCI) ส่วนตู้โหลดควรติดตั้งในตำแหน่งที่เข้าถึงง่ายและมีฝาครอบป้องกัน
4. ตรวจความต่อเนื่องและฉนวนของสายไฟ
ใช้เครื่องมือทดสอบตรวจสอบความต่อเนื่องของสาย และค่าความต้านทานของฉนวน เพื่อให้มั่นใจว่าสายไฟไม่มีรอยชำรุดหรือรั่ว การตรวจจุดต่อต่างๆ ควรทำก่อนปิดฝ้าหรือผนัง เพื่อป้องกันการรื้อซ่อมในภายหลัง
5. ทดสอบระบบหลังติดตั้งเสร็จ
เมื่อการเดินระบบทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ ควรทำการทดสอบเปิดใช้งานจริง โดยตรวจดูว่าไฟแต่ละจุดทำงานได้ตามปกติ สวิตช์และปลั๊กใช้งานได้ครบทุกจุด เบรกเกอร์ทำงานปกติ และไม่มีปัญหาไฟตกหรือไฟกระพริบ
สรุป
การตรวจงานระบบไฟฟ้าเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ และควรดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจมาตรฐานความปลอดภัย การตรวจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการทดสอบระบบจริง จะช่วยให้บ้านปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต